บทวิเคราะห์ "รักไร้เสียง - The Shape of Voice" ฉบับภาพยนตร์ โดย PLAY IS WORK


กลับมาอีกครั้งกับรักไร้เสียงฉบับภาพยนตร์ รีวิวที่แล้ว เราเซฟตัวเองเยอะมากไม่สปอยล์ และพยายามแตะตัวต้นฉบับให้น้อยที่สุด แต่รอบนี้บอกเลยว่าสปอยล์ยับ สับละเอียดยิ่งกว่าหมูบะช่อ ถ้าพร้อมจะโดนสปอยล์ เชิญ


เรื่องย่อคงไม่ต้องหรอกมั้งเพราะถ้าอ่านจนจบก็น่าจะเรียบเรียงเรื่องได้เกือบทั้งหมดละ



►นี่ไม่ใช่หนังรักโรแมนติก



ยอมรับว่าขัดใจทุกครั้งเวลาเห็นทาง M-pictures หรือ Major พยายามโปรโมทว่านี่คือการ์ตูนรักโรแมนติกหวานแหวว แกล้งเพราะรัก คือแม่งไม่ใช่ ไม่ใช่เลย ไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงเลย เมนหลักของการ์ตูนเรื่องนี้มันคือผลกระทบของการกลั่นแกล้งที่ส่งผลต่อทั้งผู้แกล้งและผู้ถูกแกล้ง และกลายเป็นปมในจิตใจที่ยากจะลืมเลือน

ทำไมถึงบอกว่ามันเป็นผลกระทบที่ส่งผลต่อทั้งผู้แกล้งและผู้ถูกแกล้ง จากเรื่องนี้บอกเลยว่าทั้งโชโกะที่ถูกแกล้งและโชยะที่เป็นหัวโจกรวมทั้งผองเพื่อนมากมายที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับผลกระทบกันไปทั้งหมด เรามาไล่เรียงกันไปทีละคน


โชโกะ ต้องยอมรับว่าพลังใจเธอนั้นยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมาก เธอถูกกลั่นแกล้งเพราะเธอมีความแตกต่างจากคนทั่วไปจนทำให้เธอต้องย้ายโรงเรียนมานับครั้งไม่ถ้วน เธอแบกรับความเจ็บปวดสารพัดไว้กับตัวและฝืนยิ้มออกมาเพียงเพราะเธออยากได้รับการยอมรับจากเพื่อน ๆ เธอแค่อยากมีเพื่อน! แต่ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของเธอเพราะรู้สึกว่าการสื่อสารกับเธอเป็นเรื่องยุ่งยาก น่ารำคาญ สุดท้ายทุกคนก็ตีตัวออกห่างเธอไป หรือไม่ก็กลั่นแกล้งเธอเพื่อขับไล่เธอออกไปให้พ้นสายตา

ต่อให้พลังใจของเธอจะแข็งแกร่งขนาดไหนมันก็มีวันแตกสลาย ในที่สุดความคิดที่อยากจะตายไปให้พ้น ๆ ก็เกิดขึ้น เพราะเธอรู้สึกว่าไม่มีใครต้องการเธอ เธอไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ แต่โชคดีเหลือเกินที่น้องสาวของเธอ ยูซุรุ ได้เข้ามาปกป้องและโอบอุ้มจิตใจของเธอไว้ได้ทันเวลา

ในที่สุดความรู้สึกอยากตายก็กลับมาอีกครั้งเมื่อกลุ่มเพื่อนเกิดการแตกหัก เธอเสียเพื่อนไปอีกครั้งเพราะปัญหาการกลั่นแกล้งในวัยเด็กที่ยังตามหลอกหลอนชีวิตของเธอ และเธอเชื่อว่าเธอคือศูนย์กลางของเรื่องนี้ เธอคือต้นเหตุให้ทุกคนต้องทะเลาะกัน ถ้าไม่มีเธออยู่คงดีกว่า และนั่นทำให้เธอตัดสินใจที่จะตายและคนที่เข้ามาโอบกอดหัวใจอัดแสนปวดร้าวนี้ก็ไม่ใช่ใคร อิชิดะ โชยะ อดีตหัวโจกที่กลั่นแกล้งเธอนั่นเอง



โชยะ จากเด็กหนุ่มใจกล้าชอบอะไรแบบสุดเหวี่ยงและเป็นหัวโจกของการกลั่นแกล้ง ในภาพยนตร์พยายามทำให้โชยะดูเป็นเด็กดีมากขึ้นมีความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมากขึ้น อันที่จริงโชโกะเองก็ได้รับความเห็นใจนั้นเช่นกันจากประโยคที่่ว่า "เธอต้องพยายามมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะเบื่อเธอ" แสดงให้เห็นว่าโชยะเองก็เห็นใจโชโกะอยู่พอสมควร แต่ด้วยความที่โชยะไม่เปิดใจมากพอที่จะทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของเขาและเธอทำให้เกิดการกลั่นแกล้งเพื่อไล่เธอออกไปให้พ้นทาง เพื่อเพื่อน ๆ ของเขาจะได้ไม่ต้องลำบากกับการดูแลเธอ

ในที่สุดเรื่องราวก็กลับตาลปัตร เรื่องการกลั่นแกล้งแดงขึ้นมาและต้องหาตัวคนทำผิด ทั้งที่ทุกคนคือส่วนนึงของการกลั่นแกล้งแต่ทุกคนกลับโยนความผิดทั้งหมดให้โชยะ ทั้ง ๆ ที่บางคนช่วยกันแกล้ง บางคนไม่คิดจะห้าม บางคนก็พูดห้ามไปส่ง ๆ เผลอ ๆ ก็เห็นดีเห็นงามกับการแกล้งด้วยซ้ำ แต่ทุกคนกลับเอาตัวรอดแล้วโทษโชยะแต่เพียงผู้เดียว

จากที่เคยแกล้งโชโกะเพื่อกำจัดเธอออกไปให้พ้นสายตา กลายเป็นว่าโชยะต้องโดนการกลั่นแกล้งเหล่านั้นเสียเอง เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับโชยะที่ทำให้เขาสำนึกในความผิดทั้งหมดทั้งมวลที่เขาเคยก่อไว้และเขาเลือกที่จะแบกรับชะตากรรมอันเจ็บปวดเหล่านี้ไว้กับตัวเองโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้วคนอื่น ๆ ก็แบกรับความเจ็บปวดในรูปแบบอื่น ๆ ไว้ด้วยเช่นกัน

ส่วนนึงที่ทำให้รู้สึกว่าโชยะในวัยเด็กไม่ใช่เด็กเลวบริสุทธิ์ แต่เป็นแค่เด็กที่ทำอะไรไปโดยไม่ยั้งคิดเพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นคนที่โชยะคิดถึงคนแรกคือแม่ นั่นแปลว่าแท้จริงแล้วโชยะเป็นเด็กที่มีความกตัญญูคนนึงเลย เสียแค่ว่าเขาคิดไม่มากพอหรือตัดสินใจทำอะไรลงไปเพียงเพราะความรู้สึกชั่ววูบ

โชยะเลือกที่จะตายโดยเหลือ 2 สิ่งที่ต้องทำ สิ่งแรกคือหาเงินจำนวน 1.7 ล้านเยนให้กับแม่ของเขา แทนคำขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอน ป.6 และสิ่งสุดท้ายคือการขอโทษโชโกะสำหรับทุกสิ่งที่ทำลงไปในอดีต แต่เหมือนฟ้าเล่นตลกจากคำขอโทษกลายเป็นคำขอเป็นเพื่อนที่เริ่มต้นความสัมพันธ์ของโชยะ โชโกะและเพื่อนคนอื่น ๆ ในที่สุด




อุเอโนะ เธอชอบโชยะเธอพยายามทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้โชยะยอมรับในตัวเธอ และนั่นทำให้เธอเห็นดีเห็นงามกับการแกล้งโชโกะ แต่เมื่อเรื่องมันแดงขึ้นเธอก็ต้องเลือกระหว่างเพื่อนคนอื่น ๆ กับโชยะ และเธอตัดสินใจเลือกเพื่อน แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนที่ชอบคิดอะไรเข้าข้างตัวเองทำให้เธอโทษโชโกะว่าเป็นคนทำให้ความเป็นเพื่อนของโชยะกับผองเพื่อนต้องพังทลายลง ทั้ง ๆ ที่เธอคือคนนึงที่ทอดทิ้งโชยะเพื่อให้ตัวเองพ้นความผิด เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนคนอื่น เพียงเพื่อให้ตัวเองยังมีที่ยืนในสังคม



ซาฮาระ ด้วยความที่เธอเป็นคนที่ดูจืดชืดแต่งตัวไม่เก่งทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อน เมื่อจะมีการเรียนภาษามือเพื่อสื่อสารกับโชโกะเธอจึงตัดสินใจที่จะเรียนในขณะที่คนอื่น ๆ มองว่ามันยุ่งยากและลำบาก เพียงเพราะซาฮาระอยากมีเพื่อน แต่สุดท้ายซาฮาระก็กลายเป็นส่วนนึงของการถูกกลั่นแกล้งเธอถูกพูดเหน็บแนมว่าทำตัวประจบเอาหน้า และนั่นทำให้ซาฮาระไม่มาโรงเรียนอีกเลย ในฉบับมังงะบอกว่าเธอย้ายไปนั่งเรียนอยู่ที่ห้องพยาบาลเพราะไม่กล้าไปนั่งเรียนกับเพื่อน


►ทุกคนต้องการการยอมรับจากคนอื่น
เล่าให้ฟังเท่านี้ก่อน น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว แต่ถ้ามีโอกาสจะมาเล่ารายละเอียดของตัวละครอื่น ๆ เพิ่ม จาก 4 ตัวละครที่ผ่านมาคุณน่าจะเห็นภาพชัดเจนพอสมควรแล้วว่าการแสดงออกหรือการกระทำของพวกเขาเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะพวกเขาต้องการให้คนรอบข้างยอมรับ พวกเขาต้องการเพื่อน แต่ระเบียบวิธีคิดของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันทำให้การแสดงออกหรือการกระทำของแต่ละคนมันต่างกันไปโดยสิ้นเชิง และการกลั่นแกล้งมันเกิดขึ้นเพราะเราไม่ยอมรับในระเบียบวิธีคิดของคนอื่น เรามองว่าความคิดของคนอื่นมันผิด เราใช้กำแพงหรือความรู้สึกนึกคิดของตัวเองมาปกป้องว่าตัวเองทำถูกแล้วทั้งที่การกระทำของเรามันอาจจะผิดพลาดมากขนาดไหนก็ตามที แต่สุดท้ายแล้วความผิดมันไม่เคยจางหาย มันกลายเป็นปมเล็ก ๆ ในจิตใจที่รอวันแผ่ขยาย อย่างเช่นซาฮาระที่รู้สึกผิดที่ทอดทิ้งโชโกะไปตอนเด็กแต่ก็ปกป้องตัวเองไว้ด้วยกำแพงที่ชื่อว่าความกลัว

►ข้อจำกัดด้านเวลาและความหลังของตัวละครที่ไม่ได้เปิดเผยในภาพยนตร์

มังงะรักไร้เสียง 7 เล่มจบจะมีการบอกเล่าถึงปมของตัวละครแทบทุกตัวไว้อย่างชัดเจนเรียกว่าถ้าคุณได้อ่านฉบับมังงะมาก่อนดูหนังแล้ว หนังเรื่องนี้จะจืดชืดลงไปมากเพราะบ่อเกิดของความเจ็บปวดของตัวละครแต่ละตัวมันไม่เพียงพอ อย่างน้อยที่สุดมีตัวละคร 3 ตัวที่ผมรู้สึกว่าถูกลดทอนความสำคัญลงไปมาก แม่โชโกะ คาวาอิ และ มาชิบะ ถ้าคุณได้อ่านมมังงะคุณจะรู้เลยว่าตัวละครเหล่านี้ผ่านเรื่องราวที่สาหัสมาขนาดไหนโดยเฉพาะแม่ของโชโกะนี่ของจริง สามีทิ้ง...ทิ้งเพราะโชโกะหูหนวก แถมทิ้งในช่วงที่กำลังจะตั้งท้องยูซุรุด้วย คือมึงใจหมามาก ถ้าจะมีตัวละครตัวไหนที่น่ารังเกียจที่สุดในเรื่องนี้ก็ไม่พ้นพ่อโชโกะและญาติฝ่ายพ่อนั่นแหละ

รีวิวมังงะ เผื่อใครอยากซื้อ

ด้วยความที่ปมมันไม่พอมันเลยทำให้ความดราม่าที่ควรจะมีมันดรอปลงไปพอสมควร แม้จะมีการเรียบเรียงและตีความใหม่เพื่อให้เนื้อหามันกระชับและครบถ้วนภายใน 2 ชั่วโมงแต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ ดูแล้วไม่อิ่ม นั่นจึงทำให้ผมลงคะแนนไว้ให้เพียง 7 จาก 10 ซึ่งน้อยมาก ๆ ในฐานะของผมที่เป็นแฟนคลับรักไร้เสียงและอวยสุดลิ่มทิ่มประตูมาตลอด
สำหรับคนไม่เคยดูมังงะและรู้ทันว่านี่ไม่ใช่หนังรักโรแมนติกคอมเมดี้ คุณน่าจะโอเคกับมันแหละ แต่ถ้าคุณคาดหวังว่าแม่งจะเป็นแบบ Your Name ที่สลับร่างปิ๊งรักข้ามกาลเวลา ขอบอกเลยคุณพลาดละ โคตรพลาด ยิ่งถ้าหลงตามกระแสของทาง M-Pictures ที่โปรโมทอย่างหวานแหววเหลือเกินว่าแกล้งเพราะรัก ชวนคนรักไปดู เละตุ้มเป๊ะ ละ ละ ละ เละตุ้มเป๊ะ รักไร้เสียงแม่งคือหนังดราม่า ดราม่าฉิบหาย ต่อให้ตัดบทลดทอนสารพัดสิ่งออกไปแล้วแม่งก็ยังดราม่าเรียกน้ำตาได้ดีในระดับนึง ไม่งั้นไม่ให้คะแนนถึง 7 คะแนนทั้ง ๆ ที่บ่นฉิบหายขนาดนี้หรอก

►เพลงประกอบดีงาม
หลายคนบอกว่าเกลียดเพลงประกอบยกเว้นเพลงจบ 恋をしたのは ที่ขับร้องโดย aiko แต่สำหรับผมแล้วผมชอบทุกเพลงทุก BGM ช่วงต้นมีการใช้เพลงที่มีจังหวะสนุกสนานแม้กับฉากที่เป็นการแกล้งโชโกะก็เช่นกัน เข้าใจว่าเป็นการทำให้คนดูรู้สึกสนุกสนานไปตามอารมณ์ของโชยะที่ได้แกล้งโชโกะ แล้วค่อยมาตบหัวยุบให้รู้สึกผิดตอนกลางเรื่องถึงท้ายเรื่อง โดยส่วนตัวรู้สึกว่าการใช้ BGM แบบนี้มันช่วยให้คนคล้อยตามได้ง่าย แต่กับคนที่รู้จักรักไร้เสียงอยู่แล้วอาจจะไม่ชอบใจว่าทำไมมึงใส่เพลงสนุกมาในจังหวะที่โชโกะโดนแกล้งวะ ก็คงต้องทำความเข้าใจกันนิดนึงว่าหนังมันทำมาเพื่อให้คนที่ไม่รู้จักรักไร้เสียงดูด้วย
อีกประเด็นนึงคือรักไร้เสียงถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Your Name ที่เพลงคือส่วนนึงของเรื่อง ...คือต้องเข้าใจว่า Your Name มันใช้เพลงเล่าเรื่องด้วยอะแก แต่กับรักไร้เสียงแม่งไม่ใช่เลย จะหวังให้เพลงมันออกมาเหมือนกันมันก็ไม่ได้ เอาเป็นว่าโดยรวม BGM เข้ากับบรรยากาศเนื้อเรื่อง และสื่ออารมณ์ออกมาได้ดี น่าประทับใจ จบประเด็นจ้ะ

ถ้าชอบบทความนี้แล้วล่ะก็ จงกดแชร์ไปให้คนอื่นได้อ่านต่อ!!

เขียน, เรียบเรียง: การลงทุนมีความเสี่ยงกรุณาปรึกษาแม่บ้านก่อนลงทุน, PLAY IS WORK