บทวิเคราะห์+สปอยล์ยับ+มโนยับ Your name

คำเตือน
เนื้อหาในบทความนี้มีการสปอยล์หากท่านยังไม่ได้รับชมภาพยนตร์ Your name กรุณาปิดบทความนี้และไปรับชมภาพยนตร์ Your name ด้วยตนเองก่อน หรือเลือกอ่านบทความรีวิวของภาพยนตร์ Your name ได้ที่นี่

สำหรับบทความนี้เราจะมาเจาะลึกในเนื้อหาของภาพยนตร์อนิเมชั่นที่กลายเป็นกระแสและอาจจะเป็นประตูบานใหม่ให้กับวงการฉายภาพยนตร์ของประเทศไทย "Your name หลับตาฝัน ถึงชื่อเธอ" และขอย้ำเตือนผู้อ่านกันอีกครั้งว่าบทความนี้มีการสปอยล์ หากท่านยังไม่ได้รับชมภาพยนตร์แล้วล่ะก็ ขอความกรุณาช่วยปิดบทความนี้ไปก่อนและพบกันใหม่เมื่อท่านได้รับชมภาพยนตร์ด้วยตนเองแล้ว หรือหากท่านมั่นใจว่าสามารถรับได้กับการสปอยล์แบบเต็มขั้นแล้วล่ะก็ทางผมเองก็ขอยินดีต้อนรับสู่บทวิเคราะห์+มโนนี้ครับ

"เมื่อมนุษย์ตื่นขึ้น ความฝันจะเลือนลาง และจางหายไปในที่สุด"

การสลับร่างของทาคิ และมิตสึฮะ เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขง่าย ๆ นั่นคือการนอนหลับและตื่นขึ้นในสภาวะของการฝันในโลกความเป็นจริงของอีกคนหนึ่ง ผมขอเรียกสภาวะนี้ว่าการ "ตื่นฝัน" ส่วนการตื่นขึ้นในร่างของตัวเองนั้นผมขอเรียกว่า "ตื่นจริง" เพื่อให้ง่ายต่อการพูดถึงสภาวะนี้ต่อไปในบทความนี้ครับ

การตื่นฝันของมิตสึฮะและทาคินั้นเป็นความฝันของแต่ละคนอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะทันทีที่ทั้งคู่เกิดการตื่นจริงความทรงจำบางส่วนเกี่ยวกับการตื่นฝันนั้นหายไป ในช่วงแรกเป็นที่ชัดเจนว่าความทรงจำหายไปแทบทั้งหมด และเมื่อทั้งคู่เริ่มรับรู้ได้ถึงการมีอยู่จริงของอีกคนหนึ่ง สภาวะการตื่นจริงเริ่มเกิดการพังทลายลงทีละน้อย ผมมอง (+มโน) ว่าแท้จริงแล้วทั้งคู่แทบจะสูญเสียสภาวะตื่นจริงไปโดยสมบูรณ์แบบเลยด้วยซ้ำเพราะทั้งคู่แทบจะจำเรื่องราวทุกอย่างในร่างของอีกคนได้แทบจะสมบูรณ์ราวกับว่านั่นคือการตื่นของตนเอง

จนกระทั่งถึงคราวที่มิตสึฮะเสียชีวิตลง (พิมพ์ไปแล้วน้ำตาจะไหล) ทาคิก็ได้รับสภาวะตื่นจริงขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำของทาคิเกี่ยวกับมิตสึฮะเริ่มเกิดการพังทลายขึ้นอีกครั้ง แต่การตื่นจริงของทาคิตอนแรกเริ่มนั้นนั้นยังไม่เป็นการตื่นจริงโดยสมบูรณ์ สังเกตุได้จากการที่ทาคิยังคงจดจำรายละเอียดบางอย่างได้ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการออกตามหามิตสึฮะที่เขาจำไม่ได้แม้แต่ชื่อ ราวกับการไขว่คว้าหมอกจางที่ไม่อาจจับต้องได้

การตื่นจริงของทาคิเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์อีกครั้งเมื่อมิตสึฮะร่างอดีตหายไปต่อหน้าต่อตาเขา แม้ทาคิจะพร่ำเรียกชื่อของมิตสึฮะมากเพียงใด แต่เมื่อการตื่นจริงของทาคิเกิดขึ้น ชื่อของคนที่เขารักก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงและไม่อาจประกอบคืนให้มีสภาพดังเดิมได้อีกครั้ง และนั่นคือการตื่นจริงโดยสมบูรณ์ครั้งแรกตลอดระยะเวลาที่ทาคิและมิตสึฮะเกิดการสลับร่างกัน

ทำไมผมถึงมองว่านี่คือการตื่นจริงโดยสมบูณ์ครั้งแรกของทาคิ เพราะหลังจากนั้นทาคิหลงลืมอดีตต่าง ๆ ไปมากมาย ลืมแม้กระทั่งว่าเขากระเสือกกระสนเดินทางมาที่อิโตโมริทำไม

ทางมิตสึฮะเองผมก็มองว่าไม่ได้ต่างกัน อาการตื่นจริงของมิตสึฮะเริ่มเกิดขึ้นในขณะที่กำลังดำเนินแผนการณ์อพยพชาวบ้านหนีอุกกาบาตต่อจากทาคิที่ตื่นฝันมาจากอนาคตเพื่อปกป้องเธอ สังเกตุได้จากการที่มิตสึฮะลืมชื่อของทาคิไปในที่สุดทั้ง ๆ ที่เธอเฝ้าเรียกชื่อเฝ้านึกถึงชื่อของทาคิตลอด ลืมแม้กระทั่งว่าทาคิบอกจะเขียนชื่อของแต่ละคนไว้บนฝ่ามือของอีกฝ่ายเพื่อให้ต่างฝ่ายต่างจดจำกันได้หากเกิดการตื่นจริงขึ้น และในที่สุดมิตสึฮะก็จำได้ถึงการเขียนชื่อลงบนฝ่ามือ แต่สุดท้ายสิ่งที่ทาคิเขียนทิ้งไว้กลับเป็นข้อความที่ทาคิอยากจะบอกกับมิตสึฮะที่เขาเฝ้าตามหาตลอด ประโยคสั้นที่เห็นแล้วไม่อาจกลั้นน้ำตา ... "ฉันรักเธอ"... และคาดว่าอาการตื่นจริงของมิตสึฮะจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงของเรื่องราวที่ภาพยนตร์ไม่ได้เล่าต่อ

และสุดท้ายก็หลงเหลือแต่เพียงว่าทั้งคู่ต้องใช้ชีวิตเพื่อตามหาใครสักคนที่เขาและเธอไม่อยากจะลืม...ใครสักคนที่เขาและเธอไม่ควรจะลืม

"การแฝงตำนานและประเพณีวัฒนธรรมเก่าลงในภาพยนตร์อย่างลงตัว"

ตำนานที่ถูกหยิบมากล่าวถึงอย่างเด่นชัดที่สุดก็คงหนีไม่พ้น "ตำนานด้ายแดง" ว่ากันว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาพร้อมกับด้ายแดงที่พันนิ้วก้อยของเราและเนื้อคู่ของเราไว้ และด้ายแดงจะนำพาให้ทั้งคู่มาเจอกัน

รูปแบบของด้ายแดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกดัดแปลงมาอยู่ในรูปของเชือกมัดผมของมิตสึฮะ และสายรัดข้อมือของทาคิ ซึ่งทั้ง 2 สิ่งคือสิ่งเดียวกัน มันคือด้ายแดงที่มิตสึฮะได้ลงมือผูกไว้กับความทรงจำของทาคิด้วยหัวใจที่ปวดร้าวของเธอเองและหวังลึก ๆ ว่าทาคิจะจดจำเธอได้ ทางฝั่งทาคิเองก็เก็บรักษาด้ายแดงเส้นนั้นไว้และมอบมันคืนกับมิตสึฮะเพื่อแสดงถึงความรักและคำสัญญาที่จะจดจำตัวตนของมิตสึฮะให้ได้ด้วยตัวของเขาเอง แม้สุดท้ายเรื่องราวจะไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง การตื่นจริงของทั้งคู่ได้พรากความทรงจำของทั้งคู่ไปจนเกือบจะหมดสิ้น แต่ด้ายแดงที่ทั้งคู่บรรจงผูกลงบนความทรงจำของอีกฝ่ายยังคงอยู่และมันทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยการนำพาให้ทั้งคู่ให้กลับมาพบพานกันในมหานครอันแสนวุ่นวายในที่สุด ซึ่งผมมองว่านี่คือการเล่นกับตำนานพื้นเมืองที่ถูกประยุกต์ออกมาอย่างมีศิลปะ น่าจดจำและทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง

มิโกะ ศาลเจ้า สาเก มิซูบิ สิ่งเหล่านี้ก็ถูกหยิบยกมาให้เห็นในหนังเช่นกัน และยังมีการถ่ายทอดความรู้สึกของวัยรุ่นสมัยใหม่ที่เริ่มมีการต่อต้านวัฒนธรรมเหล่านี้โดยมองว่าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างที่ได้เห็นกันในภาพยนตร์ว่ามีการพูดคุยกันในทำนองว่า "ไม่อายบ้างเหรอ" หรือ "เป็นฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก" แม้กับตัวมิตสึฮะเองก็ยังมีอาการเบื่อหน่ายกับความโบราณเหล่านี้ทั้ง ๆ ที่เธอเองเป็นมิโกะประจำศาลเจ้า

อันที่จริงน่าจะมีความเชื่อบางอย่างที่ผมตกหล่นหรือข้ามไป ยังไงก็ลองไปสัมผัสและมาบอกเล่าให้ผมอ่านบ้างนะครับ เพราะผมเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้สักเท่าไร หลัก ๆ ก็ศึกษาเอาจากการ์ตูนญี่ปุ่นนี่แหละ ซึ่งเป็นสเน่ห์อย่างนึงของการ์ตูนญี่ปุ่นที่มักจะแฝงวัฒนธรรมหรือความเชื่อของบ้านเขาลงไปในสื่ออย่างการ์ตูนเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ออกไปสู่โลกกว้าง

"ความรักเกิดขึ้นแม้ไม่ได้พบเจอกัน"

เราน่าจะคุ้นชินกับการสร้างความสัมพันธ์ที่อาศัยเวลา การพูดคุย หรืออะไรต่าง ๆ นา ๆ ที่คุณจะคิดได้ และคงไม่มีใครเคยคิดว่าการสลับร่างจะสามารถก่อเกิดความรักได้ มาโคโตะ ชินไค ได้เลือกเงื่อนไขนี้เป็นประตูบานใหม่สู่การสร้างความผูกพันที่คุณไม่อาจคาดเดาได้ว่าคุณจะรักในตัวของคนที่คุณไปสลับร่างได้ เพราะการสลับร่างไม่เคยเกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นโจทย์ข้อหนึ่งที่เขาทิ้งไว้ให้เราต้องตีความด้วยตัวเอง

การตีความของ มาโคโตะ ชินไค บอกเราว่าความรักรูปแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งหลายคนไม่อินในจุดนี้และทำให้ความพยายามของทาคิกลายเป็นเรื่องเพ้อเจ้อและไม่มีคุณค่าให้จดจำ ซึ่งจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะตีความความผูกพันรูปแบบนี้ต่างไปจาก มาโคโตะ ชินไค มากเพียงใด โดยส่วนตัวผมเทใจไปในแนวที่ว่าความรักจากการได้ใช้ชีวิตเป็นอีกฝ่ายนั้นสามารถเบ่งบานได้ (ในกรณีที่การสลับร่างเกิดขึ้นจริง)

การเล่าเรื่องในภาพยนตร์เรื่องนี้มีการเร่งสปีดช่วงชีวิตที่ทั้งคู่สลับร่างกันให้เร็วและรวบรัด ซึ่งอาจจะรวบรัดมากเกินไปจนหลายคนมองไม่เห็นความผูกพันที่เกิดขึ้น แล้วยิ่งจุดเริ่มต้นทาคินั้นแอบชอบรุ่นพี่อยู่ก่อนหน้ามันยิ่งทำให้คนสงสัยว่าทาคิเริ่มมีใจให้มิตสึโฮะตั้งแต่เมื่อไรกันแน่

เอาเข้าจริงผมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าทั้งคู่มีท่าที่ที่ชัดเจนว่าต่างฝ่ายต่างเกิดความผูกพันจนเป็นความรัก (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการรวบรัดเนื้อหา) แต่ทั้งคู่รู้ตัวว่ารักอีกฝ่ายก็วันที่ทาคิจะไปออกเดทกับรุ่นพี่นั่นแหละ ฝั่งมิตสึฮะแสดงออกชัดเจนถึงความเหงาผ่านทั้งคำพูดและน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว ว่าแท้จริงแล้วเดทที่จะเกิดขึ้นนี้ควรเป็นเธอที่ได้ไปไม่ใช่รุ่นพี่ ฝ่ายทาคิเองก็มีการแสดงออกเพียงเล็กน้อยตอนที่เห็นรูปเมืองอิโตโมริ แต่ถ้ามามองกันจริง ๆ ผมรู้สึกว่าทาคิเองก็ไม่ได้สุขสมกับการเดทครั้งนี้สักเท่าไร ซึ่งนั่นก็พอจะเป็นสัญญาณจากทาคิว่าความรักที่เขามีต่อรุ่นพี่นั้นถูกบั่นทอนลงด้วยอะไรบางอย่าง และคำตอบของคำถามนี้ผมก็มองเห็นเพียงคำตอบเดียวว่ามิตสึฮะนั่นแหละคือคนที่ทาคิเรียกหาอยู่ในจิตใจ

ทันทีที่หลังการเดทล่ม ทาคิไม่ได้มีท่าทีเศร้าสร้อยมากมายแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่บรรยากาศที่ดูเหงา ๆ ซึม ๆ และทาคินึกถึงมิตสึฮะเป็นคนแรก จะด้วยเพราะมิตสึฮะคือคนปูทางการเดทนี้มาให้ หรือจะเป็นเพราะในใจทาคิมีมิตสึฮะไปแล้วก็ตาม อย่างน้อยที่สุดมิตสึฮะคือ "คนแรก" ที่ทาคิคิดถึงหลังเหตุการณ์นี้

มีอีกจุดนึงที่อาจจะทำให้ทาคิรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วเขารักใครกันแน่นั่นคือคำพูดของรุ่นพี่ที่ถามกับเขาว่า "เธอมีคนที่ชอบแล้วใช่ไหม?" ผมมองว่าคำถามนี้อาจจะเป็นหนึ่งในชนวนให้ประตูความรักของทาคิที่มีต่อมิตสึฮะถูกเปิดออกอย่างชัดเจน

และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทั้งหมดที่ผมสัมผัสได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ผมอาจจะหลงลืมหรือเพิกเฉยไม่พูดถึง แล้วคุณล่ะ ดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วรู้สึกอย่างไร บอกเล่าเรื่องราวของคุณไว้ด้านล่างนี้หรือที่เพจได้เลยครับ

ช่วงแถม


"แขกรับเชิญที่น่าจะใช่เธอ"

เห็นหน้าคุณครูที่สอนหนังสือมิตสึโฮะแล้วรู้สึกคุ้นหน้ามั้ยครับ? ทันทีที่เห็น flash back จากเรื่อง The Garden of Words เข้าปะทะหน้าเลยครับ ผมว่าใช่ คุณว่าอย่างไรกันครับ *ทาง Akibatan ลงบทความคอนเฟิร์มว่าใช่ครับ*

เขียน, เรียบเรียง: การลงทุนมีความเสี่ยงกรุณาปรึกษาแม่บ้านก่อนลงทุน